Tuesday, July 27, 2010

27/07/2010 บทสัมภาษณ์ของวี ใน TK Park e Magazine หน้า 32-33

เมื่อปลายเดือน มิ.ย. ก่อนมาเรียนภาษาที่ ซิดนีย์
ได้มีโอกาสได้รับการติดต่อจากทีมนักเขียนรุ่นใหม่ของ TK Park ผ่านทาง Facebook
เพื่อขอสัมภาษณ์การทำงานเพื่อสังคมที่ผ่านมา หลังจาก Big Cleaning Day และ ต่อเนื่องมากเรื่อยๆ
และนี่ก็ หนังสือ ออนไลน์ ที่ทางทีมงานน้องนักเขียนรุ่นใหม่ทำออกมา
ลองอ่านดูนะคะ บทสัมภาษณ์วีอยู่ที่หน้า 32-33
อย่างน้อยก็เป็นส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งที่ได้แชร์ความรู้สึกให้กับหลายๆคนที่มีความรู้สึกเดียวกัน หรือ กำลังอยากทำเหมือนกัน

Wednesday, July 21, 2010

ทำงานเพื่อสังคม หากอยากรู้ว่าทำไปทำไม ลองทำดูแล้วคุณจะรู้เอง

ว่างจากเขียน Blog มานาน เพราะภารกิจมากมายและพยายามเลี่ยงการใช้ คอมพิวเตอร์
หลังจากการแจกผ้าเย็นและเลี้ยงอาหารทหาร สถานการณ์ของบ้านเมืองก็เริ่มคลี่คลาย
ก็ได้คุยกับทีมพี่ๆเพื่อนๆ ว่าเราจะไปทำความสะอาดหลังเหตุการณ์กัน และแล้วภารกิจก็เริ่มขึ้นมาตามลำดับ
1. กิจกรรมทำความสะอาด ที่พวกเราตั้งชื่อขึ้นมาว่า Event "ประเทศไทยกลับมาสดใส ดีกว่าเดิม" ก็เริ่มส่งเชิญเพื่อนๆใน Facebook  เพื่อรวบรวมคนที่มีความต้องการเดียวกันไปเริ่มต้นทำความสะอาดพื้นที่ประสบเหตุด้วยกัน
แรกเริ่มเดิมที พวกเราจะไปทำที่ ดินแดง และ อนุสาวรีย์ชัย เพราะเห็นมีกลุ่มที่จะไปทำความสะอาดที่ สยาม เยอะแล้ว (ตอนนั้นยังไม่มีคำยืนยันให้เข้าไปทำที่ราชประสงค์) ก็เริ่มมีการติดต่อกับกทม. โดยพี่เอ
แต่ในคืนนั้นที่เริ่มประสานงานก็ได้เริ่มรู้จักและพูดคุยกับกลุ่มต่างๆที่สนใจอยากไปทำความสะอาดด้วยกัน ก็ได้มีการนักประชุมกันที่ เสถียรธรรมสถาน เพื่อวางแผนการทำงานร่วมกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง "ความปลอดภัย" ของผู้ที่สนใจไปทำร่ววมกัน
และถือว่าเป็นการโชคดีที่พวกเราประสานงานกันอย่างดี โดยกลุ่มของพวกเราได้รับหน้าที่ดูแล "การรับบริจาคสิ่งของเพื่อการทำความสะอาดและอาหารและน้ำ" ซึ่งก็ร่วมมือกับกลุ่ม Clean Bangkok with The Unity , Pantip , กรุงเทพบ้านเกิดของเรา ฯลฯ ในการประสานงานต่างๆ และ ได้รับความช่วยเหลือจาก "อาสาสมัครฟื้นฟูประเทศไทย" ในการช่วยประกาศมากมาย
รวมทั้งความโชคดีของทุกคนที่ร่วมมือกัน ไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็ตามคือ ต้องขอบคุณ กทม. ที่ช่วยยืนยันความปลอดภัยและจัดงาน BIG CLEANING DAY ขึ้นมา เพราะว่าผู้คนมากมายได้ระดมกันมาช่วยกัน ซึ่งแน่นอน ต้องนอกเหนือขาก Facebook Twitter และ Pantip หรือ Social Media อื่นๆ ซึ่งเป็นการสร้างพลังและกระตุ้นความรักและหวงแหนถิ่นที่อยู่อาศัยและประเทศไทยให้เกิดขึ้นในจิตใจของคนไทยที่บอบช้ำมากเหลือเกิน
 และภาพเหล่านี้ก็คือ ความภูมิใจ ในฐานะที่เป็นส่วนเล็กๆที่ได้สร้างสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นในสังคม



หลังกิจกรรม พวกเราจึงตัดสินใจเปิด Group ใน Facebook ว่า ประเทศไทยกลับมาสดใส ดีกว่าเดิม  เพื่อเป็นจุดหนึ่งที่ช่วยประสานงานและกระจายข่าวกิจกรรมดีๆของทีมและของทีมอื่นๆ เพื่อช่วยให้สังคมไทยกลับมาดีกว่าเดิม @^_^@

2. กิจกรรม MAY DAY MAY DAY ขายของนำรายได้ช่วยค่ารักษาพยาบาลของทหาร และ ผู้ประสบเหตุ
โดยไปขายกันวันเสาร์ ที่ Villa Market อารีย์
หลังกิจกรรมการทำความสะอาดกทม. ที่สร้างความประทับใจและความสัมพันธ์ที่ดีของกลุ่มคนทำงาน ก็มีการติดต่อมาจากพี่ยุ้ยว่ามีงานกุศล ขายของเพื่อนำรายได้ช่วยผู้ประสบเหตุจากเหตุการณ์ และเป็นการโชคดีที่พวกเราได้เข้าร่วมกิจกรรม จึงมีการประชุมกันแล้วก็ได้มีการทำขนมมาขายพร้อมน้ำปั่น ซึ่งผู้ที่ลงมือหนักในงานนี้คือ พี่น้องที่น่ารักที่เราเพิ่งมาพบและรู้จักในงาน Big Cleaning Day  โดยได้รวมตัวกันไปทำขนมที่บ้านพี่สมใจ และ พี่อ้อก็ได้ลงมือเตรียมอุปกรณ์น้ำปั่นและส่วนผสมต่างๆกับน้องขวัญ  และพี่เอก็ได้ประสานช่วยกันในการทำเสื้อทีมและป้ายทีมมา ซึ่งสร้างสีสันเป็นอย่างดี
ก็ได้ไปขายกันอย่างสนุกสนาน (ส่วนตัวเราก็ตามไป เพราะตอนเช้าไปสอบ Toeic แบบเตรียมตัวมาน้อยมาก และ ผลคือ ได้ 725 ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ยังไม่ดีพอ)
รายได้ในวันนั้นพวกเราได้แบ่งให้ผู้จัดงานโดยไม่หักค่าใช้จ่าย ไปทำกิจกรรมช่วยทหาร และที่เหลือ เราเอามาเตรียมกิจกรรมต่อไปคือ ทำเสื้อเกราะให้ทหาร!!!

Monday, May 10, 2010

8-9 พ.ค. 53 ภารกิจปันน้ำใจให้ทหารและตำรวจ ที่ดูแลความสงบในพื้นที่ กทม.ขอให้สงบโดยเร็ว

ภาคต่อ ...
หลังจากเมื่อครั้งที่แล้ว วีได้เงินสมทบทุนมา 6,000 บาท บริจาคไป 1,000 บาท ที่ รพ.พระมงกุฏ  และได้พบเจอกับกลุ่มทีมงานใน FB ที่มีความมุ่งหมายเดียวกันคือ ช่วยเหลือ บรรเทา ให้คุณทหารและตำรวจ มีกำลังใจและสบายกายสบายใจมากขึ้น นั่นก็คือ ทีมงานที่วีกำลังจะกล่าวถึงค่ะ
ทีมเพื่อนกลุ่มนี้เค้าได้ไปปฏิบัติภารกิจแจกของทหารรอบกรุงมา 1 รอบแล้ว และกำลังจะไปอีกที 9 พ.ค. นี้
พอวีทราบ ก็ดีใจสุดฤทธิ์ เพราะว่าจะได้เอาเงินที่ได้รับบริจาคมา มาสมทบทุนและร่วมกันไปเป็นทีม
(เพราะคิดว่าไปคนเดียวคงไม่ไหวแน่ๆเลย จะไปทางไหนก็ไม่ถูก กทม. ถนนมันเยอะจัด haha)
ว่าแล้วเมื่อรู้ว่าปฏิบัติการครั้งที่ 2 ของทีมเพื่อน และ ของวี มีวันเวลาตรงกัน วีรยาก็จัดไป !!!!
เรานัดแนะกันผ่าน FB และ MSN เพื่อกระจายกำลังกันไปซื้อของ
ซื้อของ
  • ทีม 1 (พี่เอ คุณปู) วันศุกร์ที่ 7 พ.ค.ไปซื้อของที่โบ๊เบ๋ เป็นผ้าเย็นเอามาพับแล้วก็แช่แข็งเอาไว้ เย็นจับใจ ส่วนน้องเพิลไปร่วมไม่ได้เพราะติดเตรียมตัวสอบ
  • ทีม 2 วันเสาร์ที่ 8 พ.ค. ไปซื้อยา ลูกอม ผ้าปิดปาก ขนม กันที่แม็คโคร บางกะปิ (บ้านเราอยู่ลาดพร้าวต้นๆ) เดินทางไปฝนตกซะงั้น ไปนัดเจอกันกับเพื่อนๆครั้งแรก วันนี้ซื้อของกัน 2 คันรถเข็น ไปกัน 3 คน เงินจากทีมที่มีเหลือ บวกกับเงินบริจาคของทางด้านวี ก็ไม่พอซื้อของ ต้องออกกันไปก่อน ขาดไป 2,140 บาท



แพ็คของ
  • วันศุกร์ที่ 7 พ.ค.คุณปูกับที่บ้านพับผ้าเย็นแช่ แข็งผ้าเย็นที่บ้าน
  • วันเสาร์ที่ 8 พ.ค. วี พี่เอ และ น้องเพิล ซื้อของเสร็จ ก็ไปบ้านพี่เอกัน (ห้องยังไม่ติดแอร์ ร้อนมาก แต่ก็สนุกดีได้อบตัว หวัง ผอม)  ซื้อของ 14.00 Pack ของเสร็จกลับถึงบ้าน 20.00 เวลาผ่านไปเร็วมาก เราแพ็คของกันตั้งแต่ตะวันยังเปรี้ยง ถึง ตะวันตกดิน อิอิ 




สุดยอดกับการระดมเงินผ่าน BB และ FB
  • ตอนเราซื้อของเสร็จ เงินไม่พอ วีก็กลุ้มใจ ก็เลยสรรหาเงินมาสมทบอีก ผ่าน BB และ FB อีกครั้ง (จะบอกว่ารอบแรกก็หาผ่าน BB วีก็ Post ไปใน Group และส่งถึงเพื่อนบางคน ว่าขาดเงินไปสมทบทุนที่ซื้อของเกินงบ (ขนาดซื้อเกินงบ ก็ยังไม่พอแจกเลย)
  • ระหว่างที่เรานั่งรถเดินทางไปบ้านพี่เอ เพื่อ Pack ของ พอวี Post ไปปุ๊บ ก็มีน้ำใจหลังไหลเข้ามาอีก พี่เอขับรถไป น้องเพิลก็คุยตระเตรียมงานไป วีก็ พิมพ์ พิมพ์ พิมพ์ แล้วก็ได้เห็นข้อความสวรรค์ "ยินดีช่วย 1000 2000 500 200 ฯลฯ" โอ้โห เร็วทันใจน้ำใจคนไทย
  • ที่ขำคือ วีกดๆอยู่ วีก็ Update คุยกันในรถไปเรื่อยๆว่า ได้มาแล้ว 500 วีก็หยิบเงินในกระเป๋าที่มีอยู่ ยื่นไปให้น้องเพิลกับพี่เอที่นั่งหน้า ทั้งสองคน งง!!! hahaha งงว่าทำไม BB มันกดเงินออกมายื่นมาให้ได้อ่ะ ว่าแล้วก็ขำตัวเองเหมือนกัน อยากช่วยเต็มที่ไง ลืมตัวหยิบเงินออกมาเลยซะงั้น lol
สรุปยอดเงินบริจาค ที่ต้องการเพิ่มเติมกลับมามีมากกกกกกกกกก กว่าที่คาด รวมแล้ว ที่มีสมทบมาเพิ่มอีก  7,200 บาท !!!! โอ้แม่เจ้า (ทะยอย ทะยอยมา จนแบบว่าน้ำตาริน)
โดยรวมแล้ว เงินที่วีและเพื่อนๆพี่ๆของวี สมทบทุนปฏิบัติการครั้งนี้ 12,200 บาทค่ะ (ไม่รวมที่บริจาคไป 1,000 ที่รพ.พระมงกุฏ)
และนี่ คือผลงานการไปปฏิบัติงานของพวกเรา ขอขอบคุณผู้มีจิตเมตตา รักประเทศไทย ที่ร่วมกันบริจาคเงินด้วยค่ะ
วันที่ 9 พ.ค. 53 เส้นทางเดินรถ
พี่เอตระเวนขับรถรับเพื่อนๆร่วมทาง ในขณะที่น้องเพิลเตรียมของที่บ้านพี่เอเพิ่มเติม จากนั้นก็ไปรับขนมจีนแกงไก่ที่สั่งคุณป้าเอาไว้ที่ตลาดบางใหญ่ พร้อมกับซื้อผลไม้ไปเพิ่ม กล้วย ส้ม แตงโม และก็ออกเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ  ที่เลือกสุวรรณภูมิเพราะทหารที่นี่ไม่ค่อยมีคนเอาไปให้ และ ร้อน ห่างๆไกล ของกินก็ไม่อร่อย เราเลยไปเลี้ยงอาหารกันที่นั่น
ผู้บริจาคบางคนบอกว่า ท่าทางทหารอาจจะจุกได้




เลี้ยงอาหารเลี้ยงไม่พอกองร้อย เพราะมีหลายกองร้อยมาก แต่ก็อุ่นใจที่ได้ช่วยให้พี่ๆเค้าได้กินขนมจีนแกงไก่ มีพี่ทหารบอกว่า
 "ไม่ได้กินขนมจีนมานานนนนนนนนนน"
มาช่วยเหลือและทำงานครั้งนี้ ได้เพื่อนมาเยอะเลยค่ะ
พี่ทหารบอกว่า เค้าไม่อยากยิงประชาชน ไม่อยากให้ออกมากัน เพราะว่าทำให้พวกเค้าต้องกังวลต่อความไม่ปลอดภัย และต้องแบ่งทีมออกไปดูแลกันอีก
พี่เค้าบอกว่า เหตุการณ์ที่คอกวัว (ทีมนี้คือ บูรพาพยัคฆ์ ทหารเสือราชินี ที่สูญเสียมากที่สุดในวันที่ 10 เม.ย. 53) พี่เค้าเห็นผู้ก่อการร้ายยิงทหาร ยิงประชาชน ยิงมั่วไปหมด แต่พี่เค้าทำอะไรไม่ได้ เพราะประชาชนวิ่งกันไปมา และอาวุธในมือก็สู้ได้ยาก
เราฟังไป เราก็โกรธไป โกรธที่มีคนมาทำร้ายคนไทย ที่มีคนมาทำลายคนไทย และ คนๆนั้นไม่มีสมองและหัวใจ

พี่ๆที่เพิ่งกลับเข้ามาเปลี่ยนเวรยาม  เห็นขนมจีน ยิ้มใหญ่เลย เดินมาทันที ท่าทางหิวมาก ทานเยอะๆนะคะ
นอกจากอาหารแล้ว เราก็มีการ์ดให้กำลังใจ 4 - 5 แบบ แล้วก็แป้งเย็น ยา ขนมต่างๆที่เตรียมมาให้
หัวหน้ากองดีใจมากเมื่อเราหยิบกล่องที่เรา Pack ยาต่างๆ ของใช้ต่างๆรวมกัน เค้าบอกว่า นี่แหละครับที่พวกเราต้องการ
โดยเฉพาะ ยาแก้ไข แก้ปวด แก้ไอ และ ผ้าปิดปาก "เพราะว่าเวลาทหารป่วย เพราะอากาศมันร้อนมาก ก็ต้องใช้ผ้าปิดปาก เพื่อป้องกันไม่ให้ไปติดคนอื่น เรานอนติดกันเบียดกันนอนครับ " ฟังแล้ว แอบน้ำตาเล็ด ทำไมเค้าต้องมาลำบากเพราะพวกผู้ก่อการร้าย

เมื่อต้องลาเพื่อไปทำภารกิจต่อ เราก็ได้ ยกมือไหว้ และบอกพี่ทหารว่า "ขอบคุณที่ช่วยดูแลพวกเรานะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ" พี่เค้าบอกว่า "ขอให้ทุกคนโชคดี"  โหเราแบบว่าน้ำตาไหลเลย แค่เราพูดว่าขอบคุณพี่เค้า เราก็น้ำตารินแล้ว พอเจอกับอวยพรจากพี่เค้า น้ำตาหยดแหมะ

ก็เตรียมตัวเดินทางออกไปแจกของต่อตามทางต่างๆที่มีจุดดูแลความสงบเรียบร้อย จากเส้นสุวรรณภูมิ , รามอินทรา , แจ้งวัฒนะ งามวงศ์วาน ขึ้นทางด่วน (บนทางด่วนก็มีแจก) ไปแถวโบ๊เบ๊ หัวลำโพง รพ.หัวเฉียว จบที่งานลานพระรูปชื่นชมพระบารมีตรงลานพระบรมรูปทรงม้า

ตอนเอาของไปแจก เห็นพี่ทหารเหงื่อหยดตึ๋งๆ ไปน้ำก๊อกเลย อากาศร้อนมากกกกกกกก




ตลอดระยะทางที่ไปให้ เราไม่เลือกว่าจะให้ทหารเท่านั้น เราแจกให้ทั้งทหาร และ ตำรวจ เพราะเชื่อว่าทุกคนรักประเทศไทยและเป็นคนไทยเหมือนกัน
และเค้าก็ปฏิบัติหน้าที่ดูแลพวกเรา
เวลาเอาผ้าเย็น เอาการ์ดไปให้และยาต่างๆ
พี่ๆเค้ายกมือไหว้เรา บอกขอบคุณมาก
เรางี้รู้สึกตื้นตั้น พี่เค้าต่างหากที่เราต้องยกมือไหว้ และ ขอบคุณที่เสียสละเพื่อชาติ มาดูแลความสงบให้พวกเรา


ตอนเย็นเราไปกินข้าวกันที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็ไปเดินดูงานฉลองพิธีฉัตรมงคลกันต่อ







สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการไปปฏิบัติการช่วยเหลือและให้กำลังใจทหาร ตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่
1. อากาศร้อนนนน มาก ดีใจที่ผ้าเย็นช่วยให้พี่ๆเค้าหายเหนื่อย ตอนแรกเราก็ไม่ใช้เพราะกลัวของพี่ๆเค้าจะไม่พอ แต่ไม่ไหว อากาศวันนั้นน่าจะ 42 องศาได้เราก็ลองเอามาเช็ด 1 ผืน โอ้โห อย่างก่ะสวรรค์เลย รู้สึกดีที่อย่างน้อยผ้าเย็นก็ช่วยให้พี่ๆเค้า เย็นกายได้มากขึ้น  (เย็นฉ่ำจริงๆ เพราะแช่แข็งตลอดคืนและเอาน้ำแข็งมาโปะอีกตอน แจก) คิดดูว่าเราอยู฿่บนรถ แอร์รถเย็น พอเปิดประตูออกไป เหงื่อออกทันที วันนั้นร้อนจริงๆ
2. ทหาร ไม่ต้องการอะไรมากมาย ขอแค่คนไทยรักกัน ไม่ทะเลาะกัน ขอให้รักและเทิดทูนในหลวงของเรา เพราะเรามีพ่อคนเดียวกัน เค้าไม่อยากทำร้ายประชาชน (ประชาชนก็ไม่ควรไปทำร้ายเค้านะ เค้าอดทนมากเยนะ หากบอกว่าทหารทำร้ายประชาชนจริง ป่านนี้คงไม่มีใครรอดหรอก)
3. น้ำใจของคนไทยมีมากมาย แค่เราขอระดมทุน โอ้โห หลั่งไหลมาช่วยกัน จนทำให้เกิดปฏิบัติการณ์ได้
สิ่งที่อยากเขียน มีมากมาย ไม่อาจบรรยายได้ในบางเรื่อง แต่ก็อิ่มเอมใจที่ได้ลงมือทำในสิ่งที่่น่าจะช่วยให้สังคมไทยของเราน่าอยู่ขึ้น
ขอบคุณเพื่อนจาก Facebook ที่เข้ามาช่วยกันทำภารกิจให้เกิดขึ้น และ เราจะมีอีกต่อไป
พิมพ์ไป ร้องไห้ไป น้ำตาแตก เพราะรู้สึกเสียใจกับคนไทยที่ทำร้ายประเทศไทย เพื่อเงิน เพื่อความโลภ และไม่รักในหลวง
---------------
รวบรวมปฏิบัติการครั้งนี้ที่ Facebook
ปฏิบัติการส่งใจ{น้ำ+กำลัง}ให้ทหาร)ไทยของพวกเรา (ภาค2)
http://www.facebook.com/event.php?eid=116156161750961

ภาพปฏิบัติการส่งใจ{น้ำ+กำลัง}ให้ทหารไทยของพวกเรา(ภาค2)
http://www.facebook.com/album.php?aid=59225&id=1068128769

เรื่องเล่าจากปากทหาร (เพื่อนที่ไปด้วยกัน เค้าเขียนเอาไว้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่อยากจะบอกใครต่อใครเหมือนกัน) http://www.facebook.com/topic.php?topic=89&post=480&uid=115489438466114#post480

3 พ.ค. 53 เยี่ยมทหารที่ รพ.พระมงกุฏ

หลังจากนั่งพักเหนื่อยๆ มา 1 วัน ก็ได้เวลามา Update ภารกิจที่เราตั้งใจมานานแล้ว และได้ดำเนินการจริงจัง
เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบใน กทม. และเหล่าทหารและตำรวจต้องออกมาดูแลความปลอดภัย เป็นเป้านิ่งให้กับผู้ไม่หวังดีกับประเทศไทย ยิง M79 M ต่างๆนานา และ โดนด่าทอจากประชาชนคนไทยที่เป็นเสื้อแดง และ ไม่แดง  (จะไปด่าเค้าทำไม เค้ามาดูแลไม่ได้จะมาทำร้ายคุณ)
เราได้เห็นความเสียหาย การบาดเจ็บของประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะคนธรรมดา หรือ ทหาร ตำรวจ ในใจก็รู้สึกเสียใจมากมาย และ ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร อึดอัด ทำอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรไม่ได้
ที่อยากช่วย ก็ได้ตามกำลัง ก็เลยพยายามหาหนทางในการช่วยทุเลาให้คนที่ช่วยปกป้องสถาบันและรักษาความปลอดภัยให้กับพวกเรา ได้มีกำลังใจมากขึ้น
หลังจากลาออกมา เราก็ได้ถามเพื่อนๆ พี่ๆ คนรู้จักว่ามีใครจะบริจาคเงินไหม วีจะไปซื้อของและไปเยี่ยมทหารที่ รพ.พระมงกุฎ ก็ได้เงินบริจาคมาประมาณ 6000 บาท
ก็ได้เอาไปบริจาคที่ รพ.พระมงกุฏ 1,000 บาท (เพราะเห็นเค้าไปบริจาคกันเยอะแล้ว เลลยขอเก็บเงินไปซื้อของให้ทหารตำรวจที่ยืนตากแดด ตากฝน)




ภาพนี้กับน้องพยาบาลที่คอยต้อนรับคนไปเยี่ยม น้องเค้าเป็นรองนางสาวไทย ถ่ายกับ วีเนสซ่าหมู @^_^@



วันนั้นไปกับเพื่อน นุ่น พัดทอง เพื่อนสาวสวยที่มีความตั้งใจเดียวกัน และพี่กอล์ฟก็ไปด้วย ^_^


ไป รพ.พระมงกุฏ เห็นทหารที่บาดเจ็บจากสถานการณ์ เราก็ไม่กล้ามอง ไม่กล้าเข้าไปพูดคุย ทั้งที่ใจอยากไปใจจะขาด แต่เพราะกลัวว่า เราเข้าไปคุยกับเค้าแล้ว น้ำตาเราจะรินก่อนซะงั้น
ก็รออารมณ์และใจมันเข้มแข็งก่อน แล้วค่อยเข้าคุย ไปเจอ 1 พลทหาร น้องเค้ายังเด็กอยู่เลย 21 เอง แต่ต้องมาบาดเจ็บ น้องเค้าอยู่ตรงแยกคอกวัว ยืนถือโล่ ไม่มีอาวุธในมือ และแล้ว ระเบิดก็ลงตรงจุดนั้น
น้องเค้าบอกว่าไม่อยากให้ใครเจ็บอีกเลย ถามไปว่ามีฐาติมาเยี่ยมไหม น้องเค้าบอกว่า ญาติไม่ค่อยมา เพราะไม่มีตังค์มาเยี่ยม T_T เราก็ได้แต่ให้กำลังใจและขอบคุณน้องเค้าที่ช่วยดูแลพวกเรา
หลังจากนั้นก็ไปเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บจาก 3 จ.ชายแดนภาคใต้ เชื่อใจพี่ทหารเค้าเลย พี่เค้าขาขาด 2 ท่อน ขาสั้นกุด ซึ่งใช้ขาเทียมมาต่อก็ไม่ได้แล้ว แต่กำลังใจเค้าสุดยอด
พี่เค้าบอกว่าอยากให้คนไทยรักกัน มีพ่อหลวงพระองค์เดียวกัน ที่ทำเพื่อพวกเรา เราจะมาทะเลาะกันทำไม
ที่ 3 จังหวัดไม่ปลอดภัย น่ากลัวกว่าที่ กทม. เยอะมาก แต่เราต้องปกป้อง ดูแลความสงบให้ชาวบ้าน คนในพื้นที่อยู่ได้
พี่เค้าบอกว่า ไม่ต้องซื้ออะไรมาเยี่ยมมากมาย แค่มาให้กำลังใจก็ดีใจแล้ว


ภาพนี้ถ่ายกับทีม FBที่เค้าไปบริจาคสิ่งของ มีทั้งไอติม ขนม น่าอร่อย

หลังจากที่ไป รพ.พระมงกุฏ เราก็วางแผนจะเอาขนม น้ำ ไปแจกให้กับทหาร ตำรวจ ที่อยู่ตามจุดต่างๆ
ก็มานั่งคิด เราจะไปถูกไหมเนี่ย คนเดียว ทำไรได้ มีตังค์ แต่ไม่มีกำลัง
จนมาได้เจอกับทีมเพื่อนๆใน FB อีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังจะไปทำภารกิจแบบที่เราอยากทำ ก็เลยไป Jam กับเค้าด้วย  โปรดติดตาม ....

(รายนามผู้บริจาค : พี่จอย KBank 2,000 ; พี่แก้วกานต์ KBank 1,000 ;พี่แอน ขอนแก่น 1,000 ;พี่กิ๊ฟ ขอนแก่น 1,000 ;พี่ปราง ขอนแก่น 500 ;วี 500)

Saturday, April 3, 2010

Change number to 30. happy birthday to meeeeeee

วันที่ 3 เดือน 4 ปี 2523 ลิงตัวน้อย ลืมตาดูโลก


เด็กหญิงตัวน้อย อยู่ในอ้อมกอด หม่าม้า และ ป่าป๊า เป็นลูกสาวคนแรก และคนเดียว
การเกิดของเรา ส่งผลให้ 
อากง ถูกหวย !!!!!! อิอิ เป็นเรื่องดี ว่า เราเกิดมา สร้างความสุข สร้างความมั่งคั่ง lol 

และด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเดียว ตอนเด็กๆ ต้องมีคนจำวันเกิดได้ หากใครจำไม่ได้จะแอบงอน 555555

และก็เป็นลูกสาวคนเดียวนี่แหละ ที่พอใกล้ถึงวันเกิดของใครในครอบครัว ทุกคนต้องโทรมาถามก่อนว่า

 "วี นี่ใกล้วันเกิด ... แล้วใช่ไหม" เหมือนเป็น Bug 1113" เพราะเราเป็นคนให้ความสำคัญกับวันเกิดมาก


ปีนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ Birthday กันพร้อมหน้า แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความรักที่ทุกคนมีให้


ปีที่แล้วไปปราณบุรีกันครบทุกคน  สถานะยังโสด


ปีนี้วันเกิด 3/4/2010 สถานะเปลี่ยนเป็น สมรสแล้ว   ไม่ค่อยได้ทำอะไร นอนเต็มอิ่ม ไปส่งเจ๊หมิงขึ้นเครื่อง และ ไปทำบุญสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพิการ บ้านเฟื่องฟ้า กับพี่กอล์ฟ



ปีนี้ฉลอง late ไป 1 วัน เพราะทุกคนไม่ว่าง แต่ก็ OK กิน MK ก่ะ Swenzen ที่ Central ลาดพร้าว (ก่อนเค้าปิดปรับปรุง)

เวลาผ่านมา 30 ปีแล้วหรือนี่ ทำไมมันเร็วจัง เพิ่งรู้สึกว่าตัวเอง 18 เมื่อไม่กี่วันนี่เองนะ

จะว่าไป 30 ปีที่ผ่านมา ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข 

เคยได้รับการสัมภาษณ์ตอนเข้าเรียน โท MBA KKU 
ผู้สัมภาษณ์ถามว่า 

" ที่ผ่านมา เคยล้มเหลวอะไรบ้าง "

นิ่งคิดอยู่นาน เออ ชีวิตที่ผ่านมา เราไม่เคยมีอะไรที่เราล้มเหลวเลยเนอะ


ก็ตอบไปว่า 

" เท่าที่นึกได้ ไม่มีอะไรที่เคยล้มเหลวค่ะ ครอบครัวก็มีความสุข เรียนหรือสมัครเรียน สมัครสอบที่ไหน ก็เข้าได้ สอบก็ได้ดี ent ก็ติด เพื่อนก็ดี"

อันนี้ต้องขอบคุณใครเป็นพิเศษ รู้ไหม?????


ต้องขอบคุณ ครอบครัวของเรา


อาม่า

อาม่าเป็นคนที่ใจดี เป็นห่วงหลาน และ เป็นคนที่ขุนหลานให้อ้วนได้ พร้อมทั้งเสริมให้หลานฉลาดตัวเลขได้เป็นอย่างดี

ตอนเด็กๆ เรามักจะได้ไปนอนเป็นเพื่อนอาม่า อาม่ามักจะปอกผลไม้ให้กิน ทำข้าวต้มกับถั่วต้มอร่อยๆเป็นอาหารเช้าให้ทาน  และ เวลาปลุกตอนเช้าจะเอาไม้ยาวๆ กระทุ้งเพดานเพื่อปลุกเราที่นอนชั้น 2 ให้ตื่นอาบน้ำได้แล้ว 


ที่สำคัญ ชวนฝึกสมองกับกบดำกบแดง ที่ทุกคนเก่งเป็นมือฉมังเลยเชียว อิอิ

ผลบุญนี้ช่วยให้หลานวี chill chill ได้กับวิชาคณิตศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก



ป่าป๊า

ที่เป็นแบบอย่างในการคิด ในการใช้ชีวิต การสอนของป่าป๊าทำให้เราได้รู้ว่า การทำอะไรด้วยตัวเอง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิต และ เราต้องรักและเคารพผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ หรือ ผู้ที่ทำความดีให้แก่โลก



หม่าม้า

ที่เป็นแบบอย่างของผู้หญิงแกร่ง เก่ง เป็นแม่ที่สามารถดูแลลูกทั้ง 4 คนได้เป็นอย่างดี พวกเราไม่มีใครนอกลู่นอกทางเลย และเป็นแบบอย่างของการที่สามารถให้ทุกคนชื่นชมได้ว่า หม่าม้าเป็นคนดี เป็นหญิงเก่ง และ ทุกคนที่ได้รู้จักหม่าม้า รักหม่าม้ากันหมดเลย  


เฮียเอ เฮียโอ เอ็ม 

พี่ชายและน้องชาย ที่เป็นกำลังใจ ที่ปรึกษา อย่างดี ทั้งการเรียนและการใช้ชีวิต รวมทั้งเป็นแบบอย่างด้วยนะ 


และอีกครอบครัวเล็กๆที่เราโตมาด้วยกัน


ครอบครัวของเจ๊กเคี้ยวและซิ่มกุ้ง แก้ม ริน 
(ซึ่งอยู่ที่บ้านอาม่า หรือเรียกว่าซุปเปอร์ เพราะสมัยก่อน

ทำเป็นร้านขายของ ซุปเปอร์ที่ hiso ที่สุดในขอนแก่น 

ซึ่งอีกนัย เป็นพ่อแม่บุญธรรมของเรากับน้องชาย

หากตอนเด็กไม่ได้ไปเล่น ไปนอนด้วยกัน กับแก้มและริน ก็จะไม่ได้เป็นพี่สาวคนโต
การเป็นพี่สาวคนโต ค่อนข้างยากนะ เพราะปกติอยู่บ้านจะเป็นลูกสาวคนเดียวและคนกลาง

แต่เวลาไปบ้านอาม่า จะต้องเป็นพี่สาวคนโต ทำให้รู้ว่า หากความซวยบังเกิด จะโดนคนแรก hahahaha


เวลาไปเล่นที่นี่ เราต้องนำน้องและดูแลน้อง และเวลาเล่นอะไรแผลงๆก็มักจะโดนตีด้วยกัน แต่พี่สาวคนโตโดนก่อนและมักจะโดนเสมอๆ อิอิ

การไปเล่นที่บ้านอาม่าก็ทำให้เราเป็นหัวหน้าแกงค์เด็ก โดยชอบเปิดโรงเรียนสอนเด็ก เล่นกัน ไปซื้อหนังสือมาสอนเด็กน้องๆเล็กๆ หรือบางทีมีทำขนมครกที่บ้านเหล่ากู๋ ก็จะไปเล่นกับเค้า บางปี ก็แต่งตัวเป็น Bozo เพื่อแสดงเป็นตัวตลกให้น้องๆสนุกๆ 

เป็นชิงช้าหมุนๆ ให้น้องเล่น (จับแขนน้องแล้วเหวี่ยงให้น้องลอยเป็นวงกลม น่าเวียนหัว) 


สิ่งนี้ส่งผลให้ตัวเรา ในทุกวันนี้ มีความรักและชอบเล่นกับเด็ก อยากทำงานกับเด็ก อยากทำงานเพื่อสังคม

ตอนเรียนโท อาจารย์ให้เขียนว่าเราอยากทำธุรกิจอะไร

เราบอกไปว่า "อยากทำธุรกิจที่ช่วงสังคม" ซึ่งมันค่อนข้างเป็นไปได้ยากในทางธุรกิจ เว้นแต่ว่าจะทำ CSR ให้เป็นเรื่องเป็นราว 

ส่วนตัวธุรกิจเอง เราเลยเขียนที่น่าจะเป็นจริงได้คือ "โรงเรียนสอนเด็กที่เน้นเรื่องการให้ความช่วยเหลือตอบแทนสังคม" เราจะสอนให้เด็กเข้าใจความแตกต่างของคน และ ให้เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ คนที่มีน้อยกว่าเรา หรือ หากเรามีน้อยกว่าเค้า ให้เราพึงพอใจและใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ทำแต่ละวันให้ดีที่สุดโดยไม่เบียดเบียนใคร


ชีวิตที่ผ่านมา 30 ปี 
ได้ผ่านการเรียนมา 7 สถาบัน ทำงานมา 3 องค์กร

ได้แต่งงานแล้ว 

หลืออีกอย่างเดียวที่ยังไม่ได้เติมเต็มชีวิต 


การมีลูก  (เป็นของตัวเอง)

ที่วงเล็บไว้เพราะว่า ตอนฝึกงานสมัยเรียน ป.ตรี ได้มีโอกาสไปฝึกงานที่สถานสงเคราะห์เด็กอ่อน ปากเกร็ด ก้ได้ดูแลเด็กชายคนหนึ่ง ในสถานสงเคราะห์ ชื่อ บัณฑิต เป็นเด็กชายที่ต้องชะตามาก ก็ดูแลเค้าตั้งแต่หัดคลาน จนหัดเดินได้ และเค้าก็ได้ชีวิตใหม่ไปอยู่เดนมาร์กแล้วกับครอบครัวอุปถัมภ์

มีหลายคน (เกือบทุกคน) เชียร์ให้มีลูกเลย 

ขอบอกก่อนว่า เคยตั้งใจเอาไว้ว่าอยากมีลูกตอนอายุ 28 

แต่ตอนนี้ก็ล่วงเลยมา 2 ปี เพราะเพิ่งแต่งงานปีที่แล้ว (หุหุ) 

ขอใช้ชีวิตก่อนแล้วกันนะ เพื่อความพร้อมของการมีลูก และเราตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด เมื่อถึงเวลานั้น 


สิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้เมื่อผ่านมา 30 ฝน คือ 

การไม่คาดหวัง

จริงอยู่คนเราต้องมีเป้าหมาย โดยเฉพาะเรานี่แหละ จะทำอะไรต้องมีเป้าหมาย ต้องทำ โน่น นั่น นี่ให้ได้ และต้องทำให้ได้ดี (ต้องดีกว่าคนอื่นด้วย)

บางครั้งส่งผลให้ บางทีที่ไม่เป็นตามเป้าหมายก็เสียใจ จิตตกไปชั่วขณะ

แต่ด้วย secure based ของเราที่ดี คือ ครอบครัว ส่งผลให้เราฟื้นจากจิตตกเร็ว

และเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เป็นตามเป้าหมายบ่อยๆ

สิ่งที่ได้เรียนรู้จริงๆ คือ การที่เราไม่คาดหวังกับมันมากเกินไป

ไม่คาดหวังคืออะไร

ในความคิดของเรา ไม่คาดหวังในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ นั่นแหละ โดยเฉพาะสิ่งที่ต้องมีผู้อื่นร่วมกันตัดสินใจ

เพราะยิ่งคาดหวังไป ไม่ได้ตามหวัง จะเสียใจเปล่า

นี่แหละ บทเรียนที่ได้จากวัย 30 

Wednesday, December 9, 2009

091212 Wee & Golf wedding project "The Proposal"

เริ่มมีเวลามาเขียนซะที หลงจากผ่านไป 1 week ในการจัดงานแต่งงานที่มีความสุขที่สุดเลย

จริงๆ ปฏิบัติการแต่งงาน ของ วี และ พี่กอล์ฟ ก็เริ่มมาจากการที่เราสองคนเห็นว่า มันถึงเวลาแล้ว ที่เราควรแต่งงานกัน เพื่อให้ป่าป๊า หม่าม้า ของทั้ง 2 ครอบครัวมีความสุข

เริ่มตั้งแต่
การขอแต่งงาน 
เชื่อไหมว่าไม่มีการขอแต่งงานอย่างเป็นทางการ แต่ที่เรารู้และจำได้เลย คือ เมื่อตอนที่เราตัดสินใจคบกันประมาณเกือบปีได้ พี่กอล์ฟ เคยพูดว่า "แต่งงานกันนะ อยากพูดคำนี้มานานแล้ว" และ ก็มีบ้างประปรายอีกประมาณ 2 ครั้ง 
และเคยมีส่ง SMS มาให้ด้วยเมื่อวันเกิดเราปี 2002 ว่า "My HBD is Married with me become true" 
แต่พอหลังๆมา ไม่มีการพูดเรื่องนี้อีก  ไอ้เราก็ได้แต่ รอ รอ รอ ครอบครัวพวกเราก็ ลุ้น ลุ้น ลุ้น จนเมื่อเดือน ส.ค. เราทั้งสองคนได้มีการคุยกันเรื่องอนาคต (ในช่วงเวลาที่เรายังคบกันอยู่ใน 7 ปี ขอบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่เกือบจะไม่คบกันแล้ว ใครไม่เชื่ออย่าลบหลู่)  และสุดท้าย พี่กอล์ฟก็ตัดสินใจ กลับไปขอนแก่น เพื่อพูดคุยกับพ่อแม่ และไปขอเราที่บ้านป่าป๊า

ช่วงเวลานั้น ความรู้สึกของเรามันช่างยาวนาน เพราะพี่กอล์ฟกลับไปวันศุกร์ กลับมากทม. วันอาทิตย์ โดยที่ไม่มีการบอกเยว่า จะตัอสินใจว่าจะแต่งหรือว่าอย่างไร ตอนนั้น ความรู้สึกของเราคือ เครียด และ ภาวนา ขอให้เกิดสิ่งดีๆขึ้น

และ แล้ว ก็ได้ยินเสียงฟ้าประทาน ป่าป๊าโทรมาบอกว่า " อยากฟังข่าวดีหรือข่าวร้าย" 
เราก็ตอบไปว่า ขอข่าวร้ายก่อนเลยแล้วกัน เพราะอย่างน้อยข่าวดีจะได้มาทำให้สบายใจขึ้น 

ป่าป๊าบอกว่า "มีแต่ข่าวดี ตกลงจะแต่งงานเดือน ธ.ค.นี้ เดี๋ยวกอล์ฟจะไปบอกวีเอง ทุกคนให้ปิดเอาไว้ วีอย่าไปบอกใครนะ ^_^"  ต้องบอกว่า ที่ป่าป๊าบอกเรามาก่อนเพราะคงรู้ใจลูกสาวว่า คงเครียดจนทำอะไรไม่ได้แล้วในเวลานั้น

เรางี้นะ หลังจากนั่งสวดมนต์ภาวนา ที่ห้อง (ขอย้ำว่านั่งสวดมนต์จริงๆ เพราะ เครียดมาก) ก็ยิ้มแก้มปริ น้ำตาไหลไม่หยุด ความฝันของเราเป็นจริงแล้ว 

ต้องบอกก่อนว่า ความฝันของเราคืออะไร 
เมื่อครั้งยังเด็ก ใครถามว่า "โตขึ้นวีอยากเป็นอะไร?"
วีจะตอบว่า "วีอยากเป็นนางสาวไทย  กับเป็นแฟนพี่เบิร์ด 
แต่จริงๆแล้ว ในใจเรา คิดมาเพียงอย่างเดียวคือ "วีอยากแต่งงาน มีครอบครัวที่อบอุ่น เหมือนที่ป่าป๊า หม่าม้า เลี้ยงดูสมาชิกทุกคนในครอบครัวของเรามาเป็นอย่างดี มีความรัก ความเข้าใจ กำลังใจให้เสมอมา บ้านเรา ไม่มีการต่อว่าหรือทำให้ใครต้องเสียใจ มีแต่กำลังใจ คำแนะนำ และ คำปลอบโยน"  
" วีอยากสร้างครอบครัวเล็กๆ ที่น่ารัก มีลูกให้เป็นหลานที่น่ารักของ อากง อาม่า" 

และในที่สุด ความฝันก็เป็นจริง 
แต่กว่าจะเป็นจริงจนวันแต่งงาน มีเหตุการณ์ต่างๆมากมาย ที่อยากบันทึกเอาไว้ในความทรงจำ

เมื่อพี่กอล์ฟ กลับมาจากขอนแก่น มา กทม. ไอ้เราก็ รอ ร๊อ รอ ว่าเมื่อไหร่จะบอกเราซะที ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก

จนเวลาผ่านไป 1 week ก็ถึงวันแม่ เราก็พาหม่าม้าไปกินข้าวที่น้าน Jinamon MBK โดยเจ๊หมิงพาไป ทุกคนที่ไป ไม่ว่าจะเป็นเฮียโอ พี่จูน จิงจิง เอ็ม และเชอรี่ ต่างก็ลุ้นกันว่าจะเห็นฉากการขอแต่งงานแน่นอน แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราก็คิดในใจ สงสัยไม่กล้าขอต่อหน้าคนอื่น อิอิ

เดินออกมาจากร้าน Jinamon มาเจอร้านเพชรข้างหน้าพอดี คือ ร้านไอยรา เจมส์ (เจ้าของคุณคุณตูน ที่ได้รางวัลชนะเลิศ แฟนพันธ์แท้อัญมณี จากรายการแฟนพันธ์แท้) คือแบบว่า เจ๊เดินไป เห็นมีร้านเพชร กวักมือเรียก วี กับพี่กอล์ฟ เดินไป แล้วพวกเราก็ดูดู (ใจเรายังไม่อยากเลือกเพราะว่า อยากให้พีก่อล์ฟเลือกให้ แต่ว่าไหนๆก็มากันแล้ว ก็ช่วยกันเลือกเลยแล้วกัน) ก็เลือกไป เลือกมาก็ตัดสินใจ เอาร้านนี้แหละ และก่อนออจากร้านถึงรู้ว่าเค้าเป็น แฟนพันธ์แท้อัญมณี และเป็นร้านเพชรที่ดีที่มีคนแนะนำใน weedingsquare.com ขอบอกว่าเพชรร้านนี้สวยงามมากมาย เข้าไปดูได้ที่ http://www.weddingsquare.com/aiyara/

ตอนแรกเลือกแหวนไปแล้ว แต่ยังไม่เหมาะ แม่พี่กอล์ฟบอกว่าให้ไปเลือกใหม่ หม่าม้าเลยพาเราไปเลือกกันอีกที ต้องขอบคุณหม่าม้าที่ช่วยเลือกแหวนหมั้นที่สวยงามมากให้แก่เรา

จนได้แหวนมา เรานัดไปรับแหวนวันที่ 09 09 09 ซึ่งเป็นวันดี การไปรับก็มีเรา เจ๊หมิง พี่ Love และ น้องหมั่งไป แต่พี่กอล์ฟไม่ได้ไปเพราะติดงาน (แอบน้อยใจเหมือนกัน แต่เราก็ไม่อยากว่าอะไร) 

เราเอาแหวนกลับบ้าน พี่กอล์ฟก็มาถามหาแหวนล่ะ เราก็บอกอยู่ในถุงที่วางไว้ พีกอล์ฟก็ไปหยิบกล่องแหวนมา แล้วก็ยื่นกล่องแหวน (ที่ยังไม่เปิดกล่อง) ให้เรา พูดว่า "แต่งงานกันนะแค๊บบบบบบบบบบบ" ตาม Style ต๊องๆ  เราก็บอกว่า ไม่ hahahaha  ไม่เห็นเหมือนในหนังเลย

เราเลยบอกให้นั่งคุกเข่า แล้วเปิดกล่องแหวนสิ พี่กอล์ฟก็ทำตามที่สั่ง แล้วก็ยื่นกล่องแหวนมาให้ เราก็ยื่นมือซ้ายไปให้ พร้อมกับบอกว่า ใส่ให้สิ hahaha พี่กอล์ฟก็หยิบแหวนออกจจากกล่อง แล้วก็ "ยัด" ใส่นิ้่วเรา (ขอใช้คำว่ายัด เพราะว่าตลกมาก ยัดเข้ามาที่นิ้วเลย ไม่มีลีลาโรแมรติกเล้ยยยยยยยยยยยยยย)

เราก็ดีใจ ยิ้มแก้มปริ ก็เอาเถะนะ ไม่เหมือนในหนังแต่ก็เป็นตาม Style พี่กอล์ฟแหละ เค้าคงเขิน 

หลังจากนั้นปฏิบัติการต่างๆในการเตรียมงานก็เริ่มขึ้น
ขอพูดใน post ต่อไปนะคะ

แหวนหมั้น เราใช้เพชรใหญ่ 1 เม็ด และ เรียงเพชรข้าง ข้างละ 5 เม็ด




แหวนแต่งงาน ทางป่าป๊าหม่าม้าซื้อให้เจ้าบ่าว เป็นทองคำขาว สลัก 
(Wee+Golf) * Love = Forever 
 


wee 20 12 2009

Monday, November 30, 2009

มีที่นา = มีความมั่งคั่ง


เมื่อวานนี้ดูรายการที่นี่หมอชิต คุณดู๋ไปสัมภาษณ์ชาวต่างประเทศที่มาทำนาอยู่ขอนแก่นเป็นเวลากว่า 20 ปี คุณ
มาร์ติน วิลเลอร์
ก็นึกถึงตอนกลับไปฝึกงานที่ขอนแก่น ได้ไปดูงานกับคุณมาร์ตินด้วย
แต่ตอนที่ไปดูงานไม่ได้ไปทำนาด้วย เพราะว่า เค้าเก็บเกี่ยวหมด
แล้ว ก็ได้แต่ดูงานในชุมชน บ้าน ร้านค้า ตลาด การปลูกเห็ด การพึ่งพาตนเอง กินอยู่อย่างพอเพียง

 ประทับใจจนปัจจุบันว่า อยู่อย่างพอเพียงตาม ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ที่ในหลวงได้สอนพวกเรา ทำให้ชีวิตมีความสุขจริง



เมื่อคืนประทับใจคุณมาร์ติน มาก ตรงคำพูดที่ชาวต่างชาติ พูดออกมา แต่คนไทยเรา ส่วนใหญ่ยังไม่คิด หรือ คิด แต่ไม่ได้ทำ (เราก็คงเป็นส่วนหนึ่ง)
ชาวต่างประเทศ เค้าไม่มีที่ทำกิน เค้าก็หาเงินมา แล้ว หาซื้อที่ เพื่อที่จะอยู่อย่างเกษตร อยู่กับธรรมชาติ
แต่คนที่มีผืนแผ่นดิน เป็นแหล่งเกษตร กลับขายที่นา ไปหาเงิน แล้วอยู่ห้องเช่า อยู่บนตึกสูง
แต่ที่กำลังจะเขียนด้านล่าง เป็นความเข้าใจของเราจากการฟังและคิด
คนไทย มีผืนแผ่นดิน มีอาชีพหลักที่สามารถเป็นได้ทุกอย่าง พึ่งพาตนเองได้
หากเราเข้าใจวิถีชีวิตของคนไทย ที่มีรากเหง้ามาจากการทำนา เราจะเข้าใจบริบทของสังคมที่เป็นมา (แต่ตอนนี้เริ่มมลายหายไป)

การทำนา เป็นเหมือนการสร้างชีวิต
ชีวิตที่มีอยู่ อยู่ได้ กินได้ ได้เพื่อน ได้สังคม อยู่กับครอบครัว พึ่งพาอาศัยกัน ความรักเกิด ความสุขเกิด


การลงแขก เกี่ยวข้าว เป็นการสร้างความร่วมมือ สามัคคี ความช่วยเหลือกันและกัน จนกลายเป็นสยามเมืองยิ้ม

การอยู่อย่างพอเพียง อยู่กับผืนแผ่นดินของตนเอง ทำงาน เก็บดอกเก็บผล กินอยู่อย่างสบาย

มีข้าว กินตลอดปี มีผลไม้รับประทาน เหลือก็เอาไปขาย ได้เงินมาซื้อของใช้
ได้ออกกำลังกาย ตอนทำนา ทำไร่ ทำสวน อยู่กับธรรมชาติ

แต่ตอนนี้ เราพยายามเอาแบบอย่างฝรั่งเขา หรือชาติอื่นๆ ที่ไม่มีผืนแผ่นดินของตนเอง ที่พยายามกอบโกยเอาผืนแผ่นดิน ไปทำประโยชน์ เพื่อกอบโกยเป็นเงิน ซื้อของฟุ่มเฟือย มาให้ intrend

เราทำอย่างนี้มาเรื่อยๆ จนปัจจุบัน ผืนนา กลายเป็น บ้านจัดสรร เป็นห้างสรรพสินค้า เป็นนาเช่าของชาวนามาทำนาอีกที และขายที่นาให้ต่างชาติ
สุดท้าย หาเงินมา เงินหมด แผ่นดินหมด

แผ่นดิน เกิดมา มีอยู่
แต่
เงิน เกิดมา แล้วหายไป



หากเรา คนที่ยังไม่มีที่ดินของตัวเอง สามารถหามาได้ เราอยากจะอยู่อย่างพอเพียง แล้วทำเงินจากเทคโนโลยี เป็นอาชีพเสริม ไม่รู้จะมีโอกาสนั้นไหมน้า

  
Wee @^_^@


Friday, September 18, 2009

ขอไปซักครั้งในชีวิต


ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอประกาศเตรียมเปิดธีมพาร์ค"แฮร์รี พอตเตอร์"สุดอลังการปีหน้า

 http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000108648&#Opinion


Wee @^_^@

Thursday, August 21, 2008

Babb Bird Bird #9 Magic of Memory ในที่สุดชั้นก็ได้ดู

วันนี้ตื่นมาด้วยความดีใจและตื่นเต้น เพราะว่าจะได้ไปดู Concert BaBB Bird Bird ที่เราตั้งปณิธานเอาไว้ว่า ชีวิตนี้ต้องดูให้ได้ และก็ได้จริงๆ



ต้องบอกก่อนว่า พอรู้ว่ามีก็ได้ตั้งตารอจะซื้อตั๋ว แต่ไม่ได้ติดตามก็เลยซื้อไม่ทัน จากรอบปกติ ทำให้เซ็งมากๆ ก่ะว่าจะซื้อตั๋ว 5,000 ไปดูคนเดียวซะเลย แต่มาคิดดูแล้ว จะเป็นการทำให้ชีวิตเราต้องปวดหัวมากขึ้น เพราะช่วงนั้นต้องไป Japan ก็เลย ไม่เอา เสียใจอยู่นานเลย เซ็ง แอบร้องไห้ด้วย จริงๆนะ

แต่แล้ว สวรรค์ก็บันดาลให้เราได้ทำตามความตั้งใจ มีเปิดรอบพิเศษ 21/8/08 เปิดขายบัตรวันเสาร์ที่ 19 ก.ค. แต่เราก็ไม่อยู่ซะนี่ เพราะไป Japan พอดี ก็ได้เฮียโอนี่แหละที่ช่วยให้ความฝันของเราเป็นจริง เฮียโอซื้อตั๋วให้

ตอนแรกเห็นบอกว่าจองผ่าน Net แต่ว่าจองไม่ทัน ก่ะว่าจะเอาบัตร 1,000 3 ใบ แต่แล้วเฮียโอก็ต้องรีบบึ่งรถไปที่ Central เพื่อซื้อให้ ได้บัตร 800 มา 3 ใบ แค่ได้บัตร อะไรก็ได้ ก็ดีใจแล้วเรา

ขอบคุณเฮียโอมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ




 และเราก็เริ่มเข้าดู Concert จะบอกว่า พอเริ่มเปิดตัวออกมา เพลงแรก เราน้ำตารินเลยอ่ะ ซึ้งๆ ไม่รู้เพราะอะไร เราชอบพี่เบิร์ดมากๆๆๆ เลยล่ะ

รักเลยนะ ตลกดี ตอนเด็กๆ ใครถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร

จะตอบว่า อยากเป็นแฟนพี่เบิร์ด และ อยากเป็นนางสาวไทย 55555555555

ดีใจ ดีใจ จะบอกว่า Concert BaBB Bird Bird เป็นอะไรที่ อลังการที่สุดแล้ว รอบนี้ยิ่งกว่าดูโอลิมปิกอีก คือแบบว่า ดูแล้วประทับใจความสามารถของคนไทยมากๆ

ครั้งนี้ ครั้งที่ 9 พี่เบิร์ดบอกว่า ทำมา 22 ปีแล้วนะเนี่ย แบบเบิร์ดเบิร์ด เนี่ย

เต้นตลอดเลย และ ให้ความร่วมมือตลอด จากใจจริงๆ และเห็นทั้งลูกเด็กเล็กแดง และคุณย่า คุณยาย คุณตา คุณปู่ ก็มา และยังลุกขึ้นเต้นอีกต่างหาก

เฮ้ ประทับใจจริงๆ

กลับมา ก็งงตัวเอง เต้นก็เยอะ กรี๊ดก็แยะ ชั่งน้ำหนักได้ 61.6 5555555555

แต่เอาเถอะ ขอนอนก่อนแล้วกัน ค่อยว่ากันใหม่

ฝันดีเลยเรา

Saturday, August 9, 2008

แอบเรียนไวโอลีน มาเซอร์ไพรซ์วันเกิดป่าป๊า

วันนี้วันเกิดป่าป๊า ป่าป๊ามาที่ กทม. วันนี้เลยตื่นเช้า เก็บบ้าน แล้วก็รีบออกไปหา
มีความสุขมาก เพราะไปเล่นที่บ้านเฮียเอ และพาป่าป๊าไปเดิน central ทุกคนมาหมดเลย ดีใจ ๆ

ได้เวลาเปิดตัว  วีเนสซ่า หมู แล้...ว (แปลงมาจาก วาเนสซ่า เมย์)
เพราะว่าจากการทุ่มเทเรียนไวโอลีนโดยไม่เปิดเผยให้ใครรู้มาก ก็ได้โชว์ตัวอย่างเป็นทางการในงานวันเกิดป่าป๊า เล่นเพลง Happy Birthday
เล่นรอบแรก ออกเพี้ยนๆ แต่กำลังใจดี ได้เสียงคนอื่นร้องกลบ แต่รอบ 2 ที่ต้องเล่นให้หม่าม้า ด้วย version เร็ว ตาม style ของหม่าม้า
เราก็เล่นได้เร็วและผิด อายไหมละ  แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี
รักป่าป๊าและหม่าม้าที่สุดในโลก